กระเบื้องยาง (Vinyl Tile) คือวัสดุปูพื้นที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีคุณสมบัติที่โดดเด่น ทั้งความสวยงาม ความทนทาน และราคาที่เข้าถึงได้ง่าย บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับกระเบื้องยางอย่างละเอียด เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกซื้อมาใช้งาน
1. กระเบื้องยางคืออะไร? ทำไมถึงได้รับความนิยม
กระเบื้องยางไม่ใช่ยางพาราอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นวัสดุปูพื้นที่ผลิตจาก โพลีเมอร์ หรือ พีวีซี (Polyvinyl Chloride) ที่ขึ้นรูปเป็นแผ่นกระเบื้อง โดยมักถูกออกแบบลวดลายให้มีความคล้ายคลึงกับวัสดุธรรมชาติ เช่น ลายไม้ ลายหิน หรือลายคอนกรีต ทำให้มีรูปลักษณ์ที่สวยงามแต่มีต้นทุนต่ำกว่าวัสดุจริงมาก ความนิยมของกระเบื้องยางมาจากคุณสมบัติที่หลากหลาย ทั้งความยืดหยุ่น, น้ำหนักเบา, ติดตั้งง่าย, และที่สำคัญ คือ สามารถกันน้ำได้ดี ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในหลากหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือแม้แต่ห้องครัวที่อาจมีน้ำหกบ่อยครั้ง
2. รู้จักประเภทของกระเบื้องยาง: LVT, SPC และ WPC
แม้จะเรียกรวมๆ ว่ากระเบื้องยาง แต่ในท้องตลาดมีให้เลือกหลายประเภท โดยสามประเภทหลักที่ควรรู้จักคือ LVT, SPC และ WPC ซึ่งแต่ละชนิดมีส่วนประกอบหลักและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้
กระเบื้องยาง LVT (Luxury Vinyl Tile)
โครงสร้าง : มีแกนกลางทำจาก PVC บริสุทธิ์ ทำให้ตัวกระเบื้องมีความยืดหยุ่นสูง
คุณสมบัติเด่น : ให้ความรู้สึกนุ่มสบายเท้า รองรับแรงกระแทกได้ดี และสามารถดัดโค้งงอได้
ข้อควรพิจารณา : เนื่องจากมีความยืดหยุ่นสูง จึงอาจเกิดรอยบุบได้ง่ายหากมีของหนักตกใส่ และไม่เหมาะกับพื้นที่ที่มีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงบ่อย เพราะอาจเกิดการหดหรือขยายตัวได้
กระเบื้องยาง SPC (Stone Plastic Composite)
โครงสร้าง : มีแกนกลางที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ ทำจากผงหินผสมกับพลาสติก (Stone Plastic Composite)
คุณสมบัติเด่น : ทนทานต่อแรงกระแทกและรอยขีดข่วนได้ดีกว่า LVT ไม่หดหรือขยายตัวตามอุณหภูมิ และกันน้ำได้ 100% จึงเหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการความทนทานสูง
ข้อควรพิจารณา : เนื่องจากมีแกนกลางแข็ง จึงให้ความรู้สึกแข็งและเย็นกว่า LVT ใต้ฝ่าเท้า
กระเบื้องยาง WPC (Wood Plastic Composite)
โครงสร้าง : มีแกนกลางทำจากผงไม้ผสมกับพลาสติก (Wood Plastic Composite)
คุณสมบัติเด่น : มีคุณสมบัติคล้าย SPC แต่มีความยืดหยุ่นและนุ่มกว่าเล็กน้อย จึงให้ความรู้สึกสบายเท้า และยังช่วยลดเสียงสะท้อนหรือเสียงก้องได้ดีอีกด้วย
ข้อควรพิจารณา : มีราคาสูงกว่า LVT และ SPC เล็กน้อย
3. ข้อดีและข้อเสียของกระเบื้องยาง
เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น เราได้สรุปข้อดีและข้อเสียของกระเบื้องยางมาให้คุณพิจารณา ดังนี้
ข้อดี
1. ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว : โดยเฉพาะชนิดแบบคลิกล็อก (Click Lock) ที่สามารถติดตั้งได้เองโดยไม่ต้องใช้กาว ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลา
2. กันน้ำและทำความสะอาดง่าย : หมดกังวลเรื่องน้ำหรือความชื้น จึงเหมาะกับห้องครัว ห้องน้ำ หรือพื้นที่ที่ต้องเจอกับน้ำเป็นประจำ สามารถทำความสะอาดได้ง่ายเพียงใช้ไม้ถูพื้นหรือผ้าชุบน้ำเช็ด
3. สวยงามและมีลวดลายหลากหลาย : มีให้เลือกทั้งลายไม้ ลายหิน และลวดลายอื่นๆ ที่เลียนแบบวัสดุธรรมชาติได้สมจริง
4. ทนทานต่อรอยขีดข่วน : ด้วยชั้นเคลือบผิว (Wear Layer) ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้กระเบื้องยางทนทานต่อรอยขีดข่วนจากการใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดี
5. ราคาเข้าถึงง่าย : โดยรวมแล้วมีราคาถูกกว่าพื้นไม้จริงหรือกระเบื้องเซรามิกคุณภาพสูง
ข้อเสีย
1. อ่อนไหวต่อความร้อนและแสงแดด : หากโดนแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานานอาจทำให้สีซีดจางและอาจเกิดการหดตัวได้ในบางประเภท
2. ต้องใช้กับพื้นเรียบเท่านั้น : หากพื้นเดิมไม่เรียบหรือไม่ได้ระดับ จะทำให้กระเบื้องปูได้ไม่สนิทและอาจเกิดการโก่งตัวได้
3. มีโอกาสเกิดรอยบุบ : แม้จะทนทาน แต่หากมีของหนักหรือแหลมคมตกใส่ อาจทำให้เกิดรอยบุบหรือรอยทะลุได้ โดยเฉพาะกระเบื้องยาง LVT
4. กระเบื้องยาง vs. วัสดุอื่นๆ: เลือกแบบไหนดี?
เมื่อพิจารณาเลือกวัสดุปูพื้น หลายคนอาจสับสนระหว่างกระเบื้องยางกับพื้นวัสดุอื่นๆ ลองมาดูข้อเปรียบเทียบที่สำคัญเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
กระเบื้องยาง vs. พื้นไม้ลามิเนต : พื้นลามิเนตทำจากไม้อัด ทำให้ไม่ทนน้ำ บวมพองได้ง่ายเมื่อโดนความชื้น ในขณะที่กระเบื้องยางมีความยืดหยุ่นและกันน้ำได้ดีกว่า
กระเบื้องยาง vs. พื้นไม้จริง : พื้นไม้จริงให้ความรู้สึกหรูหราและอบอุ่น แต่มีราคาสูงกว่ามาก ติดตั้งยากกว่า และต้องดูแลรักษาเป็นพิเศษ ในขณะที่กระเบื้องยางให้ลวดลายที่ใกล้เคียงกับไม้จริง แต่ดูแลรักษาง่ายกว่าและมีราคาที่ถูกกว่า
กระเบื้องยาง vs. กระเบื้องเซรามิก :กระเบื้องเซรามิกแข็งแรงทนทาน แต่ติดตั้งยากกว่าและให้ความรู้สึกที่แข็งและเย็นเท้ามากกว่ากระเบื้องยาง นอกจากนี้ยังเสียงดังเมื่อมีของตกใส่ ในขณะที่กระเบื้องยางให้ความรู้สึกนุ่มสบายและช่วยลดเสียงรบกวนได้ดีกว่า
5. คู่มือเลือกซื้อกระเบื้องยาง: ให้คุ้มค่าและปลอดภัย
การเลือกซื้อกระเบื้องยางให้ตอบโจทย์การใช้งาน ควรพิจารณาจากปัจจัยสำคัญดังต่อไปนี้
ความหนาของแผ่นกระเบื้อง : ความหนาที่เหมาะสมจะช่วยให้กระเบื้องแข็งแรงและติดตั้งได้ง่ายขึ้น โดยทั่วไปมีความหนาตั้งแต่ 2-6 มิลลิเมตร (mm) หากเป็นพื้นที่ที่มีการสัญจรสูง เช่น ออฟฟิศ ควรเลือกความหนา 4-5 mm ขึ้นไป ความหนาของชั้นเคลือบผิว (Wear Layer) : ชั้นเคลือบผิวคือส่วนที่อยู่บนสุดของกระเบื้อง ทำหน้าที่ปกป้องลวดลายและป้องกันรอยขีดข่วน ยิ่งชั้นเคลือบหนามากเท่าไหร่ก็ยิ่งทนทานมากขึ้นเท่านั้น โดยทั่วไปควรเลือกที่มีความหนาตั้งแต่ 0.3 mm ขึ้นไป
ประเภทการติดตั้ง:
แบบทากาว (Glue Down) : ติดตั้งโดยใช้กาว เหมาะสำหรับพื้นที่ขนาดใหญ่และต้องการความคงทนถาวร
แบบคลิกล็อก (Click Lock): ติดตั้งโดยไม่ต้องใช้กาว ตัวกระเบื้องจะยึดเข้าด้วยกันด้วยระบบล็อก เหมาะสำหรับคนที่ต้องการติดตั้งเอง และสามารถรื้อถอนได้ง่าย
มาตรฐานความปลอดภัย: ควรเลือกซื้อกระเบื้องยางที่ได้มาตรฐานสากล เช่น FloorScore หรือ GreenGuard
ซึ่งเป็นการรับรองว่าผลิตภัณฑ์ไม่มีสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้มั่นใจได้ว่าปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัย
6. การดูแลรักษากระเบื้องยาง
การดูแลรักษากระเบื้องยางนั้นง่ายมาก เพียงแค่กวาดหรือดูดฝุ่นเป็นประจำ จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำหรือไม้ถูพื้นเช็ดทำความสะอาดได้ตามปกติ
ข้อควรระวัง คือหลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง และระวังการลากเฟอร์นิเจอร์หนักๆ ซึ่งอาจทำให้พื้นเป็นรอยได้
หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับกระเบื้องยางได้มากขึ้น หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุปูพื้นได้โดยตรง เพื่อให้ได้กระเบื้องยางที่เหมาะสมกับการใช้งานของคุณมากที่สุด